Written by 19:59 น. Experience, TRAVEL GUIDE

Road Trip อเมริกาตะวันตก ลุยหาภาพบน Wallpaper MACBook

San Francisco – Yosemite – Antelope Canyon

ตามงบบินดีอยู่สบายรวมทุกอย่าง 54,800 บาท

จัดไปให้สุด!!!

  1. โปรแกรมทัวร์
  2. รายละเอียดค่าใช้จ่าย
  3. Tips & Tricks ในการเดินทาง
  4. รายละเอียดที่พัก การเดินทาง อาหารการกิน และเรื่องราวระหว่างทางที่น่าสนใจ

เริ่มจาก Route คลาสสิก สู่เส้นทางสุด Exotic ขอจัดให้ทั้งโปรแกรมการเดินทาง โรงแรม รถเช่า ตลอดจนอาหารการกิน เผื่อบางท่านกำลังสนใจหรือวางแผนเดินทางไปตามล่าหาธรรมชาติที่แปลกตา และเรียนรู้โลกกว้างในดินแดนที่หลากหลายนี้ด้วยกัน

Program : Yosemite 3 คืน / Page (Antelope Canyon) 2 คืน / Las Vegas 1 คืน / San Francisco 2 คืน
สองเท้าแตะพื้นดินซานฟรานปุ๊บก็รีบไปรับรถเช่าปั๊บ แต่บรรดาบริษัทรถเช่าของบ้านเมืองนี้ ส่วนใหญ่จะถูกจัดสัดส่วนให้อยู่ห่างจาก Main terminal ซึ่งต้องนั่งรถ shuttle ของแอร์พอร์ตไปอีกอาคารหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลมาก บริษัทรถที่เราเลือกใช้ครั้งนี้คือ AVIS เพราะเช็คและเปรียบเทียบหลายเจ้าแล้ว ณ ตอนที่จอง ราคาของบริษัทนี้ถูกสุด และได้มาตรฐานดี ข้อนี้สำคัญ!

Tips & Tricks : การเลือกรถเช่า

  1. ขนาดที่เหมาะสมกับจำนวนคนนั่งและสัมภาระ
  2. ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัท
  3. ต้องเปรียบเทียบราคามากกว่า 3 บริษัทขึ้นไป
  4. ประกันภัยต่างๆ ซื้อให้ครบ จะได้ไม่มีปัญหาทีหลังหากเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
  5. บริษัทรถเช่าที่เราใช้บ่อยๆ ในอเมริกา เช่น Alamo, National, Budget, AVIS ส่วนบริษัทเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ ในพื้นที่ ก็พิจารณาได้เช่นกัน แต่ระบบการจอง การจ่ายเงิน และความน่าเชื่อถือของบริษัทที่เราบอกไว้นี้ จะเป็นมาตรฐานสากลที่เข้าใจง่าย ใช้งานสะดวก และไว้ใจได้แน่นอน

สมาชิกครบ ใจพร้อม ส่วนร่างกายน้านนนน… อ้อแอ้จากอาการ Jet lag เหลือเกิน แต่ด้วยความตื่นเต้นกับการผจญภัยครั้งใหม่นี้ สหายร่วมทริปกระพือหนังตาอย่างสุดใจ แล้วบอกเพื่อนผู้สวมบทบาทโชเฟอร์ “ไปให้สุด… แล้วหยุดที่สุดทางโลดค่าา”

เปิดชอทแรกนี้เราใช้เส้นทางจากสนามบินซานฟราน ตรงเข้าอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี ใช้เวลาประมาณ 3.45 ชม. (208 ไมล์) เพื่อไปเช็คอินที่พักสำหรับคืนแรกนอนเก็บแรงกันก่อน

เนื่องจากจุดหมายของเราคือจุดที่ไกลที่สุด นั่นคือ Antelope Canyon, Page ดังนั้นการเลือกที่พักใน Yosemite ของเรา จึงเลือกเป็นเส้นทางที่ทำให้การเดินทางตลอดทั้งทริป smooth มากที่สุด เราเลยเลือกที่พักที่ตั้งอยู่ค่อนไปทางใต้ของอุทยาน เพื่อเข้า Las Vegas – Page จะได้ช่วยย่นระยะทางและเวลาให้ได้ดีที่สุดเช่นกัน

วิวสองฝั่งของถนนหลังจากออกจากเมืองซานฟรานแล้ว ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากเมืองสู่ท้องทุ่ง สู่ความเวิ้งว้าง บรรยากาศของกลิ่นอายความเป็นชนบทของชุมชนชาวอเมริกันเข้ามาแทรกซึม เมื่อถึงใกล้ถึงทางเข้าอุทยานก็จะสังเกตได้เมืองเล็กๆ ชื่อว่า Oakhurst ซึ่งถือเป็นประตูต้อนรับนักเดินทางจากทั่วโลกเข้าสู่อุทยานแห่งนี้อย่างเป็นทางการ ในเมืองนี้สามารถหาซื้อสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นจากซุปเปอร์มาร์เก็ต อาหาร เครื่องดื่ม กาแฟแบรนด์ดังก็ยังมีให้บริการ

วิวระหวา่ งทางจาก San Francisco – Oakhurst

Tips & Tricks :  ที่พักบริเวณ Yosemite

  1. หากใครที่ชอบความสะดวกสบาย หาของกิน ของใช้แบบง่ายๆ สะดวกๆ ก็ขอแนะนำให้หาที่พักในบริเวณ Oakhurst นี้ (ซึ่งอยู่ห่างจาก Half Dome ขับรถขึ้นไปประมาณ 2 ชม.) แต่สถานที่ท่องเที่ยวรอบๆ นี้ก็มีให้เที่ยวชมแบบกรุบกริบเช่นกัน
  2. ที่พักบริเวณ Oakhurst ราคายังพอรับได้ ไม่แรงมาก แบรนด์ดังระดับดาวและบริการแบบมาตรฐานโรงแรมอเมริกันก็มีเช่น Best Western, Comfort Inn, ฯลฯ เป็นต้น
  3. หรือถ้าอยากแนบชิดอิงธรรมชาติเลย ก็ต้องขับรถขึ้นไปพักในอีกสักนิด ประมาณ 15 นาทีจากเมือง Oakhurst ก็จะถึงที่พักที่เราจองไว้ นั่นก็คือ Narrow Gauge แต่ถ้าหากขับรถขึ้นเหนือไปอีกสัก 2 ไมล์ ประมาณ 5 นาที ก็จะมี Resort สไตล์ log ขนาดใหญ่ ชื่อว่า Tanaya Lodge เป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่กลางป่าเขาให้บริการที่พักแบบเต็มรูปแบบ และมีห้องอาหารที่เปิดถึง 23.00 น.

อ่ะๆๆ รอดตายไปก่อน 1 มื้อกลางป่า

และถึงแม้ที่พักเราไม่ได้หรูหรามากมาย แต่ก็อบอวลไปด้วยความน่ารักๆ บรรยากาศโรแมนติกแนวบ้าน log อเมริกัน ตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า Fish Camp และที่สำคัญคือ ราคาไม่แรงมาก รับ
     Hotel     : Narrow Gauge Inn
     พิกัด      : 48571 CA-41, Fish Camp, CA 93623, USA
     ลิ้งค์พิกัด https://goo.gl/maps/ZtnRdSRGMfs
     Website https://www.narrowgaugeinn.com/

Credit : https://www.narrowgaugeinn.com/

Credit : https://www.narrowgaugeinn.com/

Day 2 Yosemite – Half Dome – Hiking to Mirror Lake
อากาศยามเช้าในช่วงต้นเดือนธันวาคมสดใสมาก ยังไม่หนาวจั เริ่มมีหิมะปกคลุมเป็นหย่อมๆ ช่วยสร้างบรรยากาศได้ดีทีเดียว คนส่วนใหญ่มักจะมาเที่ยวชมที่นี่ในช่วงฤดูร้อน แต่คนอย่างเราเรอะ มักจะทำอะไรสวนทางคนอื่นเสมอ (ปรับโหมดมาที่ความจริงคือ เพิ่งจะลางานได้ต่างหาก ผ่ามพาม!)

บริเวณรอบๆ Narrow Gauge Inn ในช่วงเช้าของต้นเดือนธันวาคม และห้องอาหารเช้าของโรงแรง

อิ่มท้องกับอาหารเช้าสไตล์อเมริกันโฮมเมด พร้อมวิวธรรมชาติที่ดูเหมือนหนาวแต่บรรยากาศช่างอบอุ่นเหลือเกิน ได้กาแฟหอมกรุ่นๆ ของแบรนด์ดังอย่าง Starbucks หืม!! ได้รสชาติจริมๆ

แล้ววันนี้ก็ได้เริ่มต้นผจญภัยกันอย่างเต็มตัวกันสักที!!!!!

เราใช้เส้นทางจาก Fish Camp ขึ้นเหนือไปตามเส้นทางสาย 41 ระหว่างทางก็ตื่นเต้นไปกับป่าสน และกวางน้อยที่ออกมาให้เราได้ยลโฉม และจะมีปั๊มน้ำมันเล็กๆให้เราได้แวะพักหรือเติมน้ำมันเล็กน้อย ขับไประยะนึงก็จะเป็นประตูทางเข้าอุทยาน ตรงนี้เราต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเข้าชมด้วยนะจ๊ะ

อัตราค่าเข้าอุทยานแห่งชาติ (Effective June 2018)
ประเภทรถและราคาค่าเข้าชม
รถยนต์ส่วนบุคคล (Non-commercial car with 15 or fewer passenger seats)     
$35 per vehicle (no per-person fee)
มอเตอร์ไซด์
$30 per motorcycle (no per-person fee)
ราคาต่อคน(Foot, bicycle, horse, or non-commercial bus or van with more than 15 passenger seats)     
$20 per person aged 16 or older

     

จุดหมายแรกของเราคือ “Tunnel View”!!!! ส่วนตัวเราเองน้านนน… ก่อนเดินทางก็ทำงานประจำแบบหัวฟูไม่มีเวลาหาข้อมูลใดๆ ไอที่มาๆ ด้วยกันเนี่ยบอกเลยกูรู้เยอะสุดล่ะ ถามว่าวันนี้จะไปไหนดี ก็คงต้องหาบุคคลที่ 5 ถามญาติอีกท่าน “อากู๋” นั่นเอง 555 ในจินตนาการที่มันเป็นภาพติดตา คิดว่าควรไปอะไรบ้างก็ค่อยๆ เสิร์ชเอา ปรากฏว่า เห้ยๆๆๆ มันก็ได้เรื่องได้ราวอยู่บ้างนะเนี่ย “จินตนการ + อากู๋ = สิ่งที่ได้มาสำหรับวันนี้ก็แบบนี้เลย”

ปักหมุดที่ 1 … Wallpaper’s MAC Book

Half Dome

Yosemite Falls : มุมจาก Tunnel View Point

Yosemite Falls : มุมจาก Tunnel View Point

Mirror Lake

           จาก Fish Camp – Half Dome ไป-กลับ ขับรถเที่ยวละ 1.30 ชม. (38.5 miles) กว่าจะมาถึงที่พักก็ตกเย็นพอดี ข้าวเย็นวันนี้ขอเปลี่ยนรสชาติมาเป็นเอเชี่ยนแนวที่ถนัดบ้างล่ะกัน ขับยาวลงมาถึง Oakhurst มีร้านซูชิที่พอทานได้อยู่ แต่ช่วงหน้าหนาวร้านรวงต่างๆ ก็จะปิดเร็วกว่าปกติสักนิด ยังไงแล้วก็ต้องลองหาร้านที่ชอบ รสชาติที่ใช่กันก่อนที่จะปักหมุดลงจอดล่ะกันนะจ๊ะ
       Restaurant       : Oka Sushi & Teppanyaki Restaurant
       พิกัด                  : 40250 Junction Dr A, Oakhurst, CA 93644
                                 ลิ้งค์พิกัด https://goo.gl/maps/Tf7EoxWFrbK2

Day 3     Tuolumne Grove
         วันที่พีคในพีคของทริปนี้ อย่างที่รู้คือเรามีเวลาเตรียมตัวน้อยมาก สถานที่นี้เราก็มาตายเอาดาบหน้าอีกเช่นกัน 555 ในหัวคือ กูอยากเห็นต้นไม้ใหญ่ๆ ยักษ์ๆ แต่สิ่งที่ไม่รู้คือ….. แล้วมันคือต้นไรแว้ อยู่จุดไหนแว้ ไปยังไง แล้วข้อจำกัดในการเดินทางยังไงบ้าง บลาๆๆๆ แต่การเดินทางบางทีเราก็หาอะไรที่ตื่นเต้นบ้าง หลงบ้าง ไม่มีความรู้บ้าง ยังงี้แหละ แม่งโคตรรสนุกและโคตรพีค
        ทำการเสิร์ชปุ๊บ สิ่งที่เจอจุดแรกสำหรับต้นไม้ใหญ่คือ Sequoia National Park แต่ช่วงหน้าหนาว ปรากฏว่าเป็นช่วงเวลาปิดทำการของอุทยานนี้จ้า อีกจุดหนึ่งที่คิดว่าน่าจะใช่คือ Tuolumne Grove ขับรถขึ้นเหนือไปทาง Half Dome แล้วต่อจาก Half Dome ไปอีกประมาณ 40 นาที (18 miles นิดๆ) หึๆ เส้นทางแค่นี้ บ่ยั้น อยู่แล้ว
พอไปถึงปุ๊บสิ่งที่เห็น………. (ว่างเปล่าเชียว… มีรถจอดเป็นเพื่อนอยู่แค่ 1-2 คัน แล้วต้นไม้ใหญ่ๆ ของกูอยู่หนายยย)

        วกกลับมาในสิ่งที่เป็น…..เราต้องเดินตาม Hiking Trail ไปอีกประมาณ 1 ไมล์กว่าๆ นึกสภาพ นี่มันใช่ช่วงเวลาการเดินป่าในหน้าหนาวมั้ยยย???? แล้วสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นี่หาไม่เจอเลย ยังกับกำลังหลงยุคไปในโลกดึกดำบรรพ์ ทางเดินไม่ต้องพูดถึง ไม่ใช่หิมะฟูๆนุ่มๆ แต่เป็นน้ำแข็งลื่นปรื้ดๆๆ แล้วที่สำคัญคือ อินี่ไม่ได้อ่าน “ป้ายคำเตือนในการเดินป่า” ที่ตั้งสง่างามจนจะทิ่มตาอยู่แล้วแม้แต่ตัวเดียว 55555

         มาถึงนี่แล้วอย่ายอมสิ เราต้องไปให้สุดไง เอ้าลุยยยย…. นิ้วตรีนจะแบบเกร็งๆหงิกๆ จิกๆ ภายใต้รองเท้าผ้าใบ (ที่ไม่กันลื่น) คือดจีย์อ่ะ 555 ปกติเดินแค่ 1 ไมล์กว่าๆ แพพๆ ก็ถึงล่ะ แต่บอกเลยการเดินป่าครั้งนี้แมร่
เปลี่ยวสุดเท่าที่เคยเจอมา OMG! เริ่มมีแอบถอดใจอยู่บ้าง แต่ป้ายตามทางก็หลอกเราอยู่เป็นระยะๆ ว่าใกล้ถึงแล้ว ถึงจุดนี้แล้วก็คงต้องเป็น
        พอเดินถึงต้น Sequoia Giant Tree ต้นแรกเท่านั้น เหมือนพบโลกใหม่ที่มันแปลกและมหัศจรรย์มาก และยิ่งตอกย้ำให้เราตระหนักว่า… มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กนิดเดียวจริงๆ 

เส้นทางเดินหฤหรรษ์ที่ฉาบไปด้วยน้ำแข็ง

มาดูที่สาระกันบ้าง

         ถึงเวลากลับที่พัก วันนี้ได้ซุปเปอร์มาร์เก็ตในอุทยาน ก็ได้มื้อที่ประหยัด ถูกปาก และหามาม่า อาหารเอเชียสุดฮิตมาช่วยล้างปากบ้างไรบ้าง คูลๆ ไป!

Day 4     Yosemite – Antelope
         วันแห่งการ Road trip ที่แสนยาวนาน อึด ถึก และทน การเดินทาง 13 ชม. ที่พบกับความหลากหลายบนเส้นทางนี้
         เราออกจาก Yosemite ตั้งแต่ 09.00 น. ขับชมวิวผ่านภูมิทัศน์ที่หลากหลาย คุ้มสุดๆ เริ่มตั้งแต่โซนภูเขา สู่ทุ่งหญ้า ฟาร์ม ท้องไร่ และผ่านเข้าไปยัง Dead Valley สู่ทะเลทรายโมฮาวี่ กว่าจะถึงลาสเวกัสก็ค่อนไปช่วงเย็นจัดแล้ว แวะเอ้าท์เลทเข้าห้องน้ำช้อปปิ้งเรียกน้ำย่อยสักนิด ก็ควรแก่เวลาที่จะมุ่งตรงไปที่เมือง Page กว่าจะถึงเล่นเอาก้นชาอยู่เหมือนกัน เพราะกว่าจะถึงก็เกือบ 22.00 เลยจร้า ส่วนอิชั้นหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จทำหน้าที่ได้ดีมากค่ะ… หลับยาวตลอดทางมิรู้เรื่องเลย 555
         จาก Yosemite เราใช้เส้นทางลงทางใต้ผ่าน Fresno – Bakersfield – Barstow – Las Vegas – Hurricane – Page 722 miles 12-13 ชั่วโมง

เบาๆ ขับรถทั้งวัน ใช้เวลาขับจริงรวมแวะพัก ก็แค่ 13 ชม.เอ๊งงงงง (เสียงสูง) โถวว บ้าบอชะมัดยากส์ เราทำไปได้ไงเนี่ยยยย แต่เราก็ขอแนะนำเพื่อนๆ นะ การ Road Trip นี้ได้เห็นวิวงามๆ และความรู้สึกดีๆ ระหว่างทางมากมายจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นมิตรภาพ การพูดคุยกับเพื่อนร่วมทาง ประสบการณ์กับคนท้องถิ่นในระหว่างทาง หรือจะเป็นภาพที่หลากหลายของวิวตลอดสองข้างทาง สิ่งเหล่านี้เป็นเสน่ห์ที่ทำให้เราหลงใหลการ Road Trip เลยล่ะ

Dead Valley

เส้นทางช่วงก่อนเข้าเมือง Las Vegas

กว่าจะถึงเมือง Page ก็เล่นเอาเกือบ 22.00 น. เช็คอินแบบที่พักดีๆ และราคาแสนถูกก็ที่นี่เลย Best Western View of Lake Powell โดย 1 ห้องสามารถนอนได้สูงสุด 4 คน นอกจากราคาดีแล้ว วิวของห้องก็ดีด้วยนี่สิ ^____^
แต่อย่าไปพูดถึงอาหารเช้าเนอะ สไตล์อเมริกันจ๋าเลยจ่ะ ขนาดจานยังเป็นจานกระดาษกินแล้วทิ้ง นำไปรีไซเคิลได้ดีด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อประหยัดการจ้างแรงงานไปอีกทางด้วย
       Hotel in Page      : Best  Western View of Lake Powell
       พิกัด                      : 716 Rimview Dr, Page, AZ 86040
                                     ลิ้งค์พิกัด https://goo.gl/maps/qc4xrfeZhbF2

Tips & Tricks :  ที่พักบริเวณ Antelope Canyon, Page, Arizona

  1. เมือง Page เป็นเมืองเล็กมากเมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้เขตอุทยานแห่งชาตินาวาโฮ (Navajo) เป็นเมืองที่เกิดขึ้นใหม่จากคนงานที่เข้ามาสร้างเขื่อน Glen แล้วเดิบโตกลายมาเป็นเมืองท่องเที่ยวจนถึงปัจจุบัน
  2. โรงแรมมีให้เลือกใช้บริการมากมาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมเล็กๆสไตล์อเมริกัน ซึ่งโรงแรมใหญ่ในเมืองนี้ ถ้าดูจากอาคารภายนอกแล้วก็คงมีแต่ JW Marriott และ Best Western นี่แหละที่ได้มตราฐานตามชื่อแบรนด์เลย
  3. ถ้าอยากได้วิวดีๆ แบบเรา แนะนำให้เลือกโรงแรมที่อยู่ต้นถนนสายหลักของเมืองเพราะจะไม่มีตึกอาคารใดมาบังวิวของเราอย่างแน่นอน และแน่นอนว่าอาจจะอยู่ห่างจากมาจากตัวเมืองเล็กน้อย แต่เนื่องจากเมืองนี้เป็นเมืองเล็ก ดังนั้นถ้าเรามีรถ ขับไปนิดเดียวไม่ถึง 5 นาที ก็เป็นตัวเมือง เป็น Safeway แล้ว
  4. และอายจเกิดความสับสนได้หากสนใจที่จะพักโรงแรม Best Western ของเมืองนี้ เพราะ มันมี 2 โรงแรมที่อยู่ติดกันนั่นเอง
  • Best Western View of Lake Powell (เป็นที่ที่เราเลือกพัก) วิวดีตามชื่อเลย ราคาจะสูงกว่าอีกแห่งเล็กน้อยเท่านั้น
  • Best Western Plus at Lake Powell เป็นโรงแรมเครือเดียวกัน ชื่อก็ใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันที่วิวจากตัว ห้องพัก และราคาจะถูกกว่าเล็กน้อย

           ดังนั้นหากสนใจโรงแรมแบรนด์นี้ในเมืองนี้ ก็เลือกกันดีๆ อย่าสับสนนะจ๊ะ

วิวจากห้องพัก Best Western View of Lake Powell ราคาหลักร้อยวิวหลักล้านของจริงเลย

Day 5 Lower Antelope Canyon
จากโรงแรมซึ่งอยู่ในเมือง Page ขับรถไปไม่เกิน 10 นาทีก็ถึงสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละจุด เช่น Antelope Horseshoe Bend  Powell Dam

เริ่มที่จุดแรกกันก่อนดีกว่า Antelope Canyon
หลายท่านอาจมีความสงสัย Upper Antelope vs Lower Antelope

รายละเอียด

Upper Antelope

Lower Antelope

สถานที่ตั้ง               

อยู่ห่างกันแค่คนละฝั่งของถนน

ลักษณะทางกายภาพ

เป็นแคนยอนที่นับจากพื้นดินแล้วเป็นโถงทางเข้าของร่องดินทรายสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

เป็นแคนยอนที่ต้องลงไปใต้พื้นดิน

ค่าใช้จ่ายสำหรับเข้าชม  (ราคานี้เป็นราคาโดยประมาณ update as of 2018)

Adult 70 USD per pax

Child 8-12 Years 54 USD

Adult 48 USD per pax

Child 8-12 Years 21 USD

การเที่ยวชม

ใช้เวลา 3 ชม. ต้องนั่งรถสองแถวพื้นเมืองเข้าไปประมาณ 1 ชม. ใช้เวลาชม 1 ชม. และกลับอีก 1 ชม.

30 นาที – 1 ชม. ไม่ต้องเดินทางไกล สามารถเดินท้าไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงทางลงเข้าไปชมเลย อยู่ใกล้กับออฟฟิศขายทัวร์ของทางอุทยาน

ช่วงเวลาเหมาะสมในการเยี่ยมชม

11.00 – 13.00 น. แสงจะสวยที่สุด เพราะเป็นช่วงที่พระอาทิตย์จะอยู่เหนือแคนยอน โดยเฉพาะช่วงเที่ยงตรงแสงจะกระทบแคนยอนแล้วเกิดลายหินทรายที่สวยงามมาก

ไม่ควรเข้าชมช่วงบ่าย เพราะพอแสงอาทิตย์ไปทางทิศตะวันตกแล้ว จะทำให้ภายในแคนยอนเกิดเป็นเงาตกกระทบ และมืด แสงน้อยกว่าช่วงเช้ามาก

เวลาใดก็ได้ แต่แนะนำช่วงสายๆ ก่อนเที่ยง ไปจนถึงเวลาก่อน 15.00 น.

 

ความแตกต่างของแคนยอน

ภาพที่ได้จะเป็นหินทรายสีส้ม สีแดง สะท้อนกับแสงแดด และมีช่องแสง

ส่วนตัวเราชอบ lower มากกว่า เพราะมีความซับซ้อนของแคนยอน และมีสีสันหลายเฉดสี เช่น สีม่วง น้ำเงิน เหลือง แดง ส้ม เป็นต้น

ปักหมุดที่ 2 … Wallpaper’s MAC Book  Upper Antelope

Lower Antelope
บันไดลงสู่ Antelope Canyon

เที่ยงแล้วไปแวะหาร้านดีๆ ราคาถูกกิน
ที่นี่มีร้านไทยด้วยนะ ตั้งอยู่ในแหล่งเดียวกับ Safeway เป็นร้านใหญ่ใช้ได้ทีเดียวเชียว
ชื่อร้าน “ดาราไทย” เจ้าของเป็นคนไทย ฉะนั้นวางใจได้ว่ารสชาติจะได้รสชาติแบบไทยๆ ที่ยอมรับได้แน่นอน ถึงแม้จะอยู่ in the middle of nowhere และแน่นอนว่การที่ร้านตั้งอยู่ในที่ไกลแสนไกลจากความเป็นเมืองมาก ดังนั้นวัตถุดิบต่างๆ ก็ต้องมีการดัดแปลงกันบ้างไรบ้าง เลยทำให้รสชาติไม่เป็นออริจินัลไปบ้าง แต่คอนเฟิร์มเลยว่า ถ้าร้านทำอาหารไทยที่อยู่ที่นี่แล้วทำได้รสชาติประมาณนี้ถือว่าอร่อยและโคตรเก่งเลย
        Restaurant          : Dara  Thai Express
        พิกัด                      : 636 Elm St, Page, AZ 86040
                                      ลิ้งค์พิกัด https://goo.gl/maps/qhhb3unoYYx

อิ่มท้องแล้ว ก็ไปที่ Horseshoe bend ต่อไม่รอแล้วนะ!
ขับรถไปไม่ไกลนัก ก็ถึงล่ะ แต่ที่โหดกว่าคือ ต้องเดินเท้าเข้าไปต่อค่ะคุณผู้โชมมมมม
เล่นเอาหอบ และข้าวที่เพิ่งกินมาย่อยไปในเวลาอันรวดเร็วทีเดียวเชียว

แต่พอถึงจุดชมความงามของ Horseshoe bend บอกเลยคุ้มมาก อยากจะกรี๊ดเป็นภาษาอินเดียแดง 555
อากาศช่วงเดือนธันวาคมกำลังดีมากและช่วงกลางวันไม่ร้อนมากจนเกินไป จะเห็นว่าเรายังใส่เสื้อหนาวคลุมอยู่เลย แต่ถ้ามาช่วงฤดูร้อน ก็คงหนักหนาเอาการอยู่เหมือนกัน

Day 6     Page – Las Vegas

วันนี้ตอนแรกเรากะจะยิงยาวจาก Page เข้าไป San Francisco เลย ดูจากระยะทางแล้วร้องโอ้วโหวววววววว ยาวๆ
กว่าจะได้ฤกษ์ออกจากเมือง Page ก็เกือบเที่ยง แวะเที่ยวชม Glent Canyon Dam Bridge สักนิด ถ่ายรูปที่ Glent Canyon Overlook กันสักหน่อยก่อนออกจากที่ดินแดนนี้อย่างเป็นทางการ ถือว่าเก็บครบครับผม

ระหว่างทางขับรถกลับจาก Page เข้าลาสเวกัส เป็นช่วงกลางวัน พอเห็นวิว 2 ข้างทาง ต้องร้องว้าวๆๆ ออกมาดังๆ เลย คือมันสวยมาก ก. ไก่ ล้านตัว ตอนขามามองไม่เห็นอะไรเลยเพราะขับรถมาก็ดึกแล้ว ไม่สามารถจินตนาการวิวที่แท้จริงได้

แนะนำว่าระหว่างขับรถจาก Page เข้า Las Vegas สามารถแวะข้างทางถ่ายภาพวิวถนนที่แสนว่างเปล่าและมีภาพทะเลทรายเป็นแบคกราวน์ด้านหลัง มันเป็นฟีลที่ได้ความเป็นอเมริกันมากทีเดียว

กว่าจะเข้าถึงเวกัสก็ค่อนไปเย็น คุยกับเพื่อนเราแล้ว ท่าทางน่าจะไม่ไหวว่ะ คงต้องพักที่นี่สักคืน
Silver Seven Hotel and Casino ราคาที่ได้ ณ ตอนนั้น คืนละ 3,000 บาท สำหรับ 4 คน

Tips & Tricks

  1. ข้อดีของการ road trip คือ เราไม่ซีเรียสกับแผนการเดินทางมากมายนัก สามารถหยุดแวะพัก หรือจะค้างคืนที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ มันทำให้เราเสพความสุนทรีย์ของความเป็นคนพื้นเมืองได้อย่างดีเลยล่ะ
  2. และที่พักที่เราค้างคืนนี้ในเวกัสก็เช่นกัน (The plan is unplan) วางแผนว่าคืนนี้เราจะนอนในรถกัน แต่ดูจากเงินที่เราใช้ไป ยังเหลืออยู่สบายๆ เราก็ควรไปนอนสบายๆ เอนหลังกันที่โรงแรมในเมืองแห่งคาสิโนกันดีกว่า
  3. หาที่พักง่ายๆ เพียงกดเข้าแอพ booking.com เราเลือกโรงแรมที่ไม่ได้อยู่บนถนนสตริป แต่อยู่ถนนด้านหลังถัดไปอีกเส้นแทน ซึ่งราคาต่างกันลิบ แต่ทำเลดีเยี่ยมพอๆ กัน รออะไร กดจ่ายเงินโลดเลยจ้า

Day 7     Las Vegas – San Francisco

ล้อหมุนออกจากลาสเวกัส สายหน่อยๆ ก็ยิงยาวไปที่ซานฟรานซิสโกกันโลด วันนี้จะเป็นการขับรถที่แสนยาวไกลอีก 1 วัน รวมระยะทางทั้งหมด 565 ไมล์ (910 km) ประมาณ 9 ชม.

และในความ 9 ชม. บนเส้นทางนี้ เราได้ชมวิว 2 ข้างทางที่สวยงามมากมาย และด้วยความเร่งรีบอยากไปถึงซานฟรานก่อนค่ำ ฉะนั้นแล้ว พวกเราแทบไม่ได้แวะพักเข้าห้องน้ำอะไรมากนัก แต่ๆๆ ที่หนักสุดคือ เราข้ามมื้อกลางวันเพราะระหว่างมีแค่ซุปเปอร์และร้านอาหารอเมริกันนิดหน่อย ด้วยการหิ้วท้องไปกินมื้อเย็นที่ซานฟรานเลยก็เป็นตกลงร่วมกันของผู้ร่วมชะตากรรมในครั้งนี้ กว่าจะถึงซานฟรานก็หิ๊ว หิวๆๆๆ หน้ามืดตาลาย จุดจบสายแข็งอย่างเราต้องเป็นบุฟเฟต์เท่านั้น จัดการหาร้านเกาหลีก่อนเข้าเมืองซานฟรานกันอย่างเร็ว ซึ่งเราเจอร้าน Gogi time อยู่ในเมือง Oakland ด่านหน้าก่อนเข้าซานฟราน เป็นร้านที่ดีงามมาก ด้วยความโชคดีคือ ถึงแม้คิวเยอะมาก แต่ก็รอไม่นานเท่าไหร่ ร้านนี้เป็นร้านใหญ่ทีเดียว และน่าจะเป็นร้านยอดนิยมของคนที่นี่ ภายในร้านคึกคัก ผู้คนมากมาย ถึงแม้จะเป็นวันธรรมดา และที่สำคัญอาหารอร่อยใช้ได้เลย ราคาก็ไม่แพง

       Restaurant        : Gogi Time Restaurant
       พิกัด                  : 2600 Telegraph Ave, Oakland, CA — 94609
                                ลิ้งค์พิกัด https://goo.gl/maps/Nceeo8jJzJk

จากนั้นก็ไปเช็คอินพักผ่อนกันที่ซานฟรานซิสโกตามแพลนที่ตั้งใจไว้เลยยยย
โรงแรมที่เราพักสำหรับ 2 คืนที่นี่คือ Cow Hollow Inn ราคาดีงาม ถึงแม้ไม่ได้อยู่กลางมืองย่าน Union Square แต่เนื่องจากเรามีรถ เดินทางสะดวก และโรงแรมอยู่ย่าน Pier 39 – Golden Gate – Lombard Street และร้านไอศกรีมชื่อดังสาขาแรกของโลก Swensen’s ดังนั้นขอจัดให้โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่ดี ห้องพักสะอาดสะอ้าน ราคาดี และที่ตั้งก็ดีใช้ได้ทีเดียว

         ที่พัก            : Cow Hollow Inn, San Francisco
         พิกัด            : 2190 Lombard St, San Francisco, CA 94123
                            ลิ้งค์พิกัด https://goo.gl/maps/QgxqFiPwHGB2
                            Website http://cowhollowmotorinn.com/

Day 8-9 ใช้ชีวิตแบบชิลล์ๆ และสนุกกับการช้อปปิ้งในซานฟรานซิสโก

วันนี้ไม่ขอรีวิวมาก เดี๋ยวเจ็บตาปลา เพราะหลายๆ ท่านคงรู้จักเมืองนี้ดีอยู่แล้วว่าจะไปเดินเล่นที่ไหน เดินทางไปอย่างไร มีอะไรน่าซื้อ น่าสนใจบ้าง เพราะเมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวฮอตฮิตติดอันดับต้นๆ ของอเมริกาเลยล่ะ ที่เที่ยวสำคัญๆ เช่น Pier 39 / Lombard street / Shopping at Union Square / แล้วแวะหาร้านกาแฟเก๋นั่งดูวิถีชีวิตคนซานฟราน ก็เป็นอะไรที่ช่วยทำให้เรารู้สึกชิลและรีแลกซ์ได้เป็นอย่างดี และอาจได้ไอเดียดีๆ หรือสร้างสรรค์การทำงาน การทำธุรกิจได้เป็นอย่างดีด้วย เพราะเมืองนี้จัดว่าเป็น Smart City ที่เป็นจุดเริ่ม Start up ชื่อดังหลายๆ แบรนด์ เช่น Airbnb, Pinterest, Uber, Twitter เป็นต้น

Day 10  ถึงเวลากลับบ้านไปใช้หนี้ และเมดมันนี่กันต่อไปจ้า

รวมงบค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ารถ และค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว
(ตัวอย่างราคานี้ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน* ค่าช้อปปิ้ง และค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ)

รายการ

รายละเอียดค่าใช้จ่าย

ราคาต่อทริป

(4 คน)

ราคาต่อคน

(USD)

1.

ค่าที่พัก

Narrow Gauge Inn, Yosemite (3 Nights)

Best Western Lake Powell, Page, Arizona (2 Nights)

Silver Sevens, Las Vegas (1 Night)

Cow Hollow Motor Inn, San Francisco (2 Nights)

 

528 USD

183 USD

132.64 USD

278 USD

 

132 USD

45.75 USD

33.16 USD

69.5 USD

2.

ค่าอาหารตลอดทริป (รวมกลางวัน 8 มื้อ / เย็น 8 มื้อ)

 – Breakfast (ราคารวมจากค่าห้องพัก)

 Lunch 15 USD / มื้อ / คน

 – Dinner 2030 USD / มื้อ / คน

 

 

120 USD

180 USD

3.

ค่าเดินทาง

– เช่ารถ (รุ่น Toyota Camry) ตลอดทริป รวม 11 วัน

– ค่าน้ำมันตลอดทริป รวม 11 วัน

  ราคาเติมเต็มถัง ประมาณ 40 USD / ถัง (Toyota Camry)

– ค่า Cable Car ใน San Francisco One way trip

 

448 USD

228 USD

 

 –

 

112 USD

57 USD

 

7 USD

4.

ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว –

Yosemite National Park (update as of 2018)

Lower Antelope Canyon (update as of 2018)

 

35 USD

 

8.75 USD

50.40 USD

TOTAL

815.56 USD

 *ค่าตั๋วเครื่องบิน ตอนเดินทางได้ราคากรุงเทพฯ-ซานฟรานซิสโก-กรุงเทพฯ ไป-กลับ ของ Thai Airways + Asiana Airlines = 28,700 บาท

รวมค่าใช้จ่ายตลอดทริป

  1. ค่าตั๋ว TG (Operated by Asiana Airlines – OZ)                = 28,700 บาท
  2. ค่าที่พัก+ค่าอาหาร 815.56 x rate 32 บาท                         = 26,100 บาท
(Visited 675 times, 1 visits today)